วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558


ประวัติผู้แต่ง
ประวัติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498   พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 3 ใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลย-เดชและ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ



ความเป็นมา
ทุกข์ของชาวนาในบทกวี  มีที่มาจากหนังสือรวมบทพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพ-รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี  เรื่อง  มณีพลอยร้อยแสง ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้จัดพิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๓  ในวโรกาสที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุครบ  รอบ  โดยนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  รุ่นที่ ๔๑  พระราชนิพนธ์นั้นแสดงให้เห็นแนวพระราชดำริเกี่ยวกับบทกวีของไทยและจีนที่กล่าวถึงชีวิตและความทุกข์ของชาวนาซึ่งมีสภาพชีวิตที่ไม่แตกต่างกันนัก
หนังสือรวมบทพระราชนิพนธ์เรื่อง มณีพลอยร้อยแสง แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๑๑ หมวด ด้วยกัน คือ กลั่นแสงกรองกานท์, เสียงพิณเสียงเลื่อน เสียงเอื้อนเสียงขับ, เรียงร้อยถ้อยดนตรี, ชวนคิดพิจิตรภาษา, นานาโวหาร, คำขานไพรัช, สมบัติภูมิปัญญา, ธาราความคิด, นิทิศบรรณา, สาราจากใจ และมาลัยปกิณกะ
ในหมวด ชวนคิดพิจิตรภาษาเป็นพระราชนิพนธ์บทความและบทอภิปรายรวม ๔ เรื่อง คือ ภาษาไทยกับคนไทย, การใช้สรรพนาม, วิจารณ์คำอธิบายเรื่องนามกิตก์ในไวยากรณ์บาลีและทุกข์ของชาวนาในบทกวี ซึ่งเป็นบทวิจารณ์ร้อยกรองที่จะนำมาศึกษาในบทเรียนนี้

 ลักษณะคำประพันธ์
ทุกข์ของชาวนาในบทกวีเป็น บทความแสดงความคิดเห็น” 
มีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นใดประเด็นหนึ่ง ความคิดเห็นจะได้มาจากการคิดวิเคราะห์ การใช้วิจารณญาณตาตรอง โดยผ่านการสำรวจปัญหา ที่มาของเรื่อง และข้อมูลอื่นๆอย่างละเอียด ความคิดเห็นที่เสนออาจจะเป็นวิธีการแก้ปัญหา หรือการโต้แย้งความคิดเห็นของผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม บทความที่แสดงความคิดเห็นที่ดีควรเสนอทัศนะคติที่ไม่เคยมีใครคิด หรือสิ่งที่มีเหตุผลเป็นการสร้างสรรค์ ไม่เป็นการบ่อนทำลาย ความน่าเชื่อนั้นอยู่ที่การวิเคราะห์ปัญหา การใช้ปัญญาไตร่ตรองโดยปราศจากอคติ และการแสดงถึงเจตนาที่ดีของผู้เขียนที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

ทุกข์ของชาวนาในบทกวี
               
เมื่อครั้งเป็นนิสิต  ข้าพเจ้าได้เคยอ่านผลงานของจิตร  ภูมิศักดิ์  อยู่บ้าง  แต่ก็ไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียด  หรือวิเคราะห์อะไร  เพียงแต่ได้ยินคำเล่าลือว่าเขาเป็นคนที่ค้นคว้าวิชาการได้กว้างขวางและลึกซึ้งถี่ถ้วน  ในสมัยที่เราเรียนหนังสือกัน  ได้มีผู้นำบทกวีของจิตรมาใส่ทำนองร้องกัน  ฟังติดหูมาจนถึงวันนี้
                                  
             เปิบข้าวทุกคราวคำ                      จงสูจำเป็นอาจิณ
    
เหงื่อกูที่สูกิน                                         จึงก่อเกิดมาเป็นคน
               
ข้าวนี้น่ะมีรส                                ให้ชนชิมทุกชั้นชน
     
เบื้องหลังสิทุกข์ทน                               และขมขื่นจนเขียวคาว
             
จากแรงมาเป็นรวง                         ระยะทางนั้นเหยียดยาว
     
จากกรวงเป็นเม็ดพราว                          ส่วนทุกข์ยากลำเค็ญเข็ญ
           
เหงื่อหยดสักกี่หยาด                      ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
    
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น                                   จึงแปรรวงมาเปิบกิน
           
น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง                           และน้ำแรงอันหลั่งริน
  
สายเลือดกูทั้งสิ้น                                    ที่สูชดกำซาบฟัน

               ดูสรรพนามที่ใช้ว่า  "กู"  ในบทกวีนี้  แสดงว่าผู้ที่พูดคือชาวนา  ชวนให้คิดว่าเรื่องจริง ๆ นั้น  ชาวนาจะมีโอกาสไหมที่จะ "ลำเลิก"  กับใคร ๆ ว่า  ถ้าไม่มีคนที่คอยเหนื่อยยากตรากตรำอย่างพวกเขา  คนอื่น ๆ จะเอาอะไรกิน อย่าว่าแต่การลำเลิกทวงบุญคุณเลย  ความช่วยเหลือที่สังคมมีต่อคนกลุ่มนี้ในด้ายของปัจจัยในการผลิต  การพยุงหรือประกันราคา  และการรักษาความยุติธรรมทั้งปวงก็ยังแทบจะเป็นไปไม่ได้  ทำให้ในหลาย ๆ ประเทศที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจ  ชาวนาต่างก็ละทิ้งอาชีพเกษตรกรรมไปอยู่ในภาคอุตสาหกรรมหรือภาคบริการ  ซึ่งทำให้ตนมีรายได้สูงกว่าหรือได้เงินเร็วกว่า แน่นอนกว่า  มีสวัสดิการดีกว่าและไม่ต้องเสี่ยงมากเท่าการเป็นชาวนา  บางคนที่ยังคงอยู่ในภาคเกษตรกรรมก็มักจะนิยมเปลี่ยนพืชที่ปลูกจากธัญพืชซึ่งมักจะได้ราคาต่ำ  เพราะรัฐบาลก็มีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมราคามาเป็นพืชเศรษฐกิจประเภทอื่นที่ราคาสูงกว่า  แต่ก็ยังมีชาวนาอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่มีทางที่จะขยับขยายตัวให้อยู่ในสถานะที่ดีขึ้นได้  อาจแย่ลงด้วยซ้ำ  แล้วก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะอุทธรณ์ฎีกากับใคร  ถึงจะมีคนแบบจิตรที่พยายามใช้จินตนาการสะท้อนความในใจออกมาสะกิดใจคนอื่นบ้าง  แต่ปัญหาก็ยังไม่หมดไป
               หลายปีมาแล้วข้าพเจ้าอ่านพบบทกวีจีนบทหนึ่ง  ผู้แต่งชื่อหลี่เชิน ชาวเมืองอู่ซี  มีชีวิตอยู่ในระหว่างปี ค.ศ. 772 ถึง 846 สมัยราชวงศ์ถัง  ท่านหลี่เชิน ได้บรรยายความในใจไว้เป็นบทกวีภาษาจีน  ข้าพเจ้าจะพยายามแปลด้วยภาษาที่ขรุขระไม่เป็นวรรณศิลป์เหมือนบทกวีของ  จิตร ภูมิศักดิ์
                        หว่านข้าวในฤดูใบไม้ผลิ  ข้าวเมล็ดหนึ่ง
                   
จะกลายเป็นหมื่นเมล็ดในฤดูใบไม้ร่วง
                   
รอบข้างไม่มีนาที่ไหนทิ้งว่าง
                   
แต่ชาวนาก็ยังอดตาย
                   
ตอนอาทิตย์เที่ยงวัน  ชาวนายังพรวนดิน
                   
เหงื่อหยดบนดินภายใต้ต้นข้าว
                   
ใครจะรู้บ้างว่าในจานใบนั้น
                   
ข้าวแต่ละเม็ดคือความยากแค้นแสนสาหัส

               กวีผู้นี้รับราชการมีตำแหน่งเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นอยู่ในชนบท ฉะนั้นเป็นไปได้ที่เขาจะได้เห็นความเป็นอยู่ของราษฎรชาวไร่ชาวนาในยุคนั้น และเกิดความสะเทือนใจจึงได้บรรยายความรู้สึกออกเป็นบทกวีที่เขาให้ชื่อว่า  "ประเพณีดั้งเดิม"  บทกวีของหลี่เชินเรียบ ๆ ง่าย ๆ แต่ก็แสดงความขัดแย้งชัดเจน  แม้ว่าในฤดูกาลนั้นภูมิอากาศจะอำนวยให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ดี  แต่ผลผลิตไม่ได้ตกเป็นประโยชน์ของผู้ผลิตเท่าที่ควร
               
เทคนิคในการเขียนของหลี่เชินกับจิตรต่างกัน  คือ  หลี่เชินบรรยายภาพที่เห็นเหมือนจิตรกรวาดภาพให้คนชม  ส่วนจิตรใช้วิธีเสมือนกับนำชาวนามาบรรยายเรื่องของตนให้ผู้อ่านฟังด้วยตนเอง
               
เวลานี้สภาพบ้านเมืองก็เปลี่ยนไป  ตั้งแต่สมัยหลี่เชินเมื่อพันปีกว่า สมัยจิตร  ภูมิศักดิ์เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว  สมัยที่ข้าพเจ้าได้เห็นเองก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันนัก  ฉะนั้นก่อนที่ทุกคนจะหันไปกินอาหารเม็ดเหมือนนักบินอวกาศ  เรื่องความทุกข์ของชาวนาก็ยังคงจะเป็นแรงสร้างความสะเทือนใจให้แก่กวียุคคอมพิวเตอร์สืบต่อไป



ข้อคิดที่ได้รับ
1. ทำให้เข้าใจความรู้สึกของชาวนาที่ต้องประสบปัญหาต่างๆ
2. ทำให้ได้รู้ถึงความทุกข์ยากความลำบากของชาวนาในการปลูกข้าว
3. ทำให้ได้เห็นถึงคุณค่าของข้าวที่ได้รับประทานเป็นอาหารหลักในการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์
4. ทำให้รู้ว่าชาวนาเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อประเทศ  เพราะว่าหากไม่มีชาวนาที่ปลูกข้าวแล้วนำมาขายให้บุคคลอื่นได้ใช้บริโภค อาจเกิดความขาดแคลนด้านอาหาร

วิเคราะห์วิจารณ์
ทุกข์ของชาวนาในบทกวีมีจุดประสงค์สำคัญเพื่อให้ผู้อ่านทราบถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากของชาวนาในการปลูกข้าวว่าในขณะที่บุคคลทั่วไปได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย สามารถรับประทานอาหารอย่างเหลือทิ้งเหลือขว้าง โดยไม่เคยคำนึงถึงความยากลำบาก คุณค่าของข้าว รวมไปถึงกลุ่มคนส่วนหนึ่งในสังคมที่ทนอยู่กับความยากลำบากในการประกอบอาชีพและดำรงชีวิต 
และกลุ่มคนในส่วนนี้คือกลุ่มบุคคลสำคัญที่เป็นกำลังสำคัญต่อประเทศ ซึ่งกลุ่มบุคคลนี้ก็คือ “ชาวนา” เพราะว่าหากไม่มีชาวนาที่ปลูกข้าวแล้วนำมาขายให้บุคคลอื่นได้ใช้บริโภค อาจเกิดความขาดแคลนด้านอาหาร แต่กลุ่มชาวนาไม่เคยได้รับสวัสดิการดั่งที่ควรจะได้รับ และจากการที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงอ่านพบบทกวีจีนที่บอกเล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนา จึงทำให้เราได้ทราบว่า ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาก็ยังเป็นดั่งเดิม

วิเคราะห์คุณค่าวรรณคดี
          
คุณค่าด้านภาษา
          
กลวิธีการแต่ง  ทุกข์ของชาวนาในบทกวี  นับเป็นตัวอย่างอันดีของบทความที่สามารถยึดถือเป็นแบบอย่างได้  ด้วยแสดงให้เห็นแนวความคิดชัดเจน  ลำดับเรื่องราวเข้าใจง่าย  และมีส่วนประกอบของงานเขียนประเภทบทความอย่างครบถ้วน  คือ
         - 
ส่วนนำ  กล่าวถึงบทกวีของ จิตร  ภูมิศักดิ์  ที่ทรงได้ยินได้ฟังมาในอดีตมาประกอบในการเขียนบทความ
         - 
เนื้อเรื่อง วิจารณ์เกี่ยวกับกลวิธีการนำเสนอบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ และของหลี่เชิน   โดยทรงยกเหตุผลต่าง ๆ และทรงแสดงทัศนะประกอบ  เช่น

          "...ชวนให้คิดว่าเรื่องจริง ๆ นั้น  ชาวนาจะมีโอกาสไหมที่จะ "ลำเลิก"  กับใคร ๆ ว่าถ้าไม่มีคนที่คอยเหนื่อยยากตรากตรำอย่างพวกเขา  คนอื่น ๆ จะเอาอะไรกิน..."


         - ส่วนสรุป  สรุปความเพียงสั้น ๆ แต่ลึกซึ้ง  ด้วยการตอกย้ำเรื่องความทุกข์ยากของชาวนา  ไม่ว่ายุคสมัยใดก็เกิดปัญหาเช่นนี้  ดังความที่ว่า

          "ฉะนั้นก่อนที่ทุกคนจะหันไปกินอาหารเม็ดเหมือนนักบินอวกาศ  เรื่องความทุกข์ของชาวนาก็คงยังจะเป็นแรงสร้างความสะเทือนใจให้แก่กวียุคคอมพิวเตอร์สืบต่อไป..."

          สำหรับกลวิธีการอธิบายนั้นให้ความรู้เชิงวรรณคดีเปรียบเทียบแก่ผู้อ่าน โดยทรงใช้การเปรียบเทียบการนำเสนอของบทกวีไทยและบทกวีจีน  ว่า

          "เทคนิคในการเขียนของหลี่เชินกับของจิตรต่างกัน  คือ  หลี่เชินบรรยายภาพที่เห็นเหมือนจิตรกรวาดภาพให้คนชม  ส่วนจิตรใช้วิธีเสมือนกับนำชาวนามาบรรยายเรื่องของตนให้ผู้อ่านฟังด้วยตนเอง"

บทกวีของหลี่เชินเป็นบทกวีที่เรียบง่าย  แต่แสดงความขัดแย้งอย่างชัดเจน คือ  แม้ว่าในฤดูกาลเพาะปลูก  ภูมิอากาศจะเอื้ออำนวยให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ดี  แต่ผลผลิตไม่ได้ตกเป็นของผู้ผลิต  คือ  ชาวนาหรือเกษตรกรเท่าที่ควร  หลี่เชินบรรยายภาพที่เห็นเหมือนจิตรกรวาดภาพให้คนชม  ส่วนจิตร ภูมิศักดิ์  ใช้กลวิธีการบรรยายเสมือนว่าชาวนาเป็นผู้บรรยายเรื่องราวให้ผู้อ่านฟังด้วยตนเอง  อย่างไรก็ตามแนวคิดของกวีทั้งสองคนคล้ายคลึงกัน  คือ ต้องการสื่อให้ผู้อ่านได้เห็นว่าสภาพชีวิตชาวนาในทุกแห่งและทุกสมัยต้องประสบกับความทุกข์ยากไม่แตกต่างกัน

คุณค่าด้านสังคม
            สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี  ได้ทรงเริ่มต้นด้วยการยกบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์  ซึ่งแต่งด้วยกาพย์ยานี 11 จำนวน 5 บท  มีเนื้อหาเกี่ยวกับความยากลำบากของชาวนาที่ปลูกข้าวซึ่งเป็นอาหารสำคัญของคนทุกชนชั้น  พระองค์ทรงเห็นด้วยกับบทกวีนี้และยังทรงกล่าวอีกว่าเนื้อหาบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์  สอดคล้องกับบทวีของหลี่เชิน กวีชาวจีนที่แต่งไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง  แสดงให้เห็นว่าสภาพชีวิตองชาวนาไม่ว่าที่แห่งใดในโลกจะเป็นไทยหรือจีน  จะเป็นสมัยใดก็ตาม  ล้วนแล้วแต่มีความยากแค้นลำเค็ญเช่นเดียวกัน
            
ดังนั้นแนวคิดสำคัญของบทความพระราชนิพนธ์เรื่อง  ทุกข์ของชาวนาในบทกวี  จึงอยู่ที่ความทุกข์ยากของชาวนา  และสภาพชีวิตของชาวนาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอดังความที่ว่า

"...แม้ว่าในฤดูกาลนั้นภูมิอากาศจะอำนวยให้ให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ดี  แต่ผลผลิตไม่ได้ตกเป็นประโยชน์ของผู้ผลิตเท่าที่ควร"

          พระราชนิพนธ์  เรื่อง  ทุกข์ของชาวนาในบทกวี  แสดงให้เห็นถึงความเข้าพระทัยและเอาพระทัยใส่ในปัญหาการดำรงชีวิตของชาวนาไทย  ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงพระเมตตา  อันเปี่ยมล้นของพระองค์ที่ทรงมีต่อชาวนาผู้มีอาชีพปลูกข้าวเป็นหลัก  เริ่มชีวิตและการทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ  ทำงานแบบหลังสู้ฟ้า  หน้าสู้ดิน  ตลอดทั้งปี  ดังนั้นในฐานะผู้บริโภค  จึงควรสำนึกในคุณค่าและความหมายของชาวนาที่ปลูก "ข้าว" อันเป็นอาหารหลักเพื่อการมีชีวิตอยู่รอดของคนไทย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น